ดาวอังคาร
ดาวอังคาร
เป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4
ชื่อละตินของดาวอังคาร (Mars) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามของโรมัน
หรือตรงกับเทพเจ้า Ares ของกรีก เป็นเพราะดาวอังคารปรากฏเป็นสีแดงคล้ายสีโลหิต
บางครั้งจึงเรียกว่า "ดาวแดง" หรือ "Red Planet" (ความจริงมีสีค่อนไปทางสีส้มอมชมพูมากกว่า)
สัญลักษณ์แทนดาวอังคาร คือ ♂
เป็นโล่และหอกของเทพเจ้ามาร์ส
ดาวอังคารมีดาวบริวารหรือดวงจันทร์ขนาดเล็ก 2 ดวง คือ
โฟบอสและไดมอส โดยทั้งสองดวงมีรูปร่างบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปกลม
ซึ่งคาดกันว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่หลงเข้ามาแล้วดาวอังคารคว้าดึงเอาไว้ให้อยู่ในเขตแรงดึงดูดตนเอง
ดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์หิน (terrestrial planet) มีชั้นบรรยากาศเบาบาง
พื้นผิวมีลักษณะคล้ายคลึงทั้งหลุมอุกกาบาตบนดวงจันทร์ และภูเขาไฟ หุบเขา ทะเลทราย
และบริเวณน้ำแข็งขั้วโลก บนโลก ดาวอังคารมีภูเขาที่สูงที่สุดในระบบสุริยะคือ
ภูเขาไฟโอลิมปัส (Olympus Mons) และหุบเขาลึกที่มีชื่อว่า มาริเนริส (Marineris)
ที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2008 มีบทความ 3
บทความตีพิมพ์ลงในนิตรสาร "Nature" เกี่ยวกับหลักฐานของหลุมอุกกาบาตที่ใหญ่มหึมา
โดยมีความกว้าง 8,500 กิโลเมตร ยาว 10,600 กิโลเมตร
นอกจากนั้นสิ่งที่ดาวอังคารมีและคล้ายคลึงกับโลกก็คือคาบการหมุนรอบตัวเองและฤดูกาล ดาวอังคารสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
มีค่าความส่องสว่างปรากฏอยู่ที่ 3.0 มีเพียงแค่ดาวศุกร์ ดวงจันทร์
และดวงอาทิตย์ที่สว่างกว่า
ลักษณะทางกายภาพ
โดยภาพรวมนั้นดาวอังคารมีขนาดที่เล็กกว่าโลก
คือมีความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับรัศมีของโลกและมีน้ำหนักเทียบได้กับ 11%
ของโลก
ปริมาตร 15% ของโลก
พื้นที่ผิวทั้งหมดของดาวอังคารยังน้อยว่าพื้นที่ที่เป็นพื้นดินของโลกเสียอีก[5]
ส่วนสีของดาวที่เห็นเป็นสีส้ม-แดงนั้น
เกิดจาก ไอร์ออน(II) ออกไซด์ ซึ่งเป็นที่รู้กันคือ แร่เหล็ก หรือสนิมเหล็กนั่นเอง
ประวัติของดาวอังคาร
หากเป็นไปได้ว่า
ชีวิตในดาวเคราะห์ดวงอื่นน่าจะมีขึ้นได้เช่นเดียวกับโลกเราแล้ว
ดาวอังคารเป็นดาวที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
นักดาราศาสตร์บางคนเชื่อว่าดาวดวงนี้ต้องมีชีวิตบางประเภทอุบัติขึ้น
อาจจะมีทั้งพืชและสัตว์ตลอดจนมนุษย์ถ้ามนุษย์ที่ดาวอังคารมีอยู่ไซร้
เขาหล่านั้นอาจจะฉลาดล้ำกว่ามนุษย์ในโลกเราก็เป็นได้
ดาวอังคารจึงเป็นดาวที่มนุษย์โลกสนใจมากที่สุด
ดาวอังคารเป็นดาวดวงที่ 4 ของสุริยจักรวาล อยู่ห่าวจากดวงอาทิตย์ 142,000,000 ไมล์
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4,215 ไมล์ หมุนรอบตัวเองกินเวลารอบละ 24 1/2 ช.ม. โคจรรอบดวงอาทิตย์ใช้เวลาประมาณรอบละ 687
วันหรือเกือบ 2 ปี ของการโคจรของโลก
รอบนอกของดาวอังคารจะห่อหุ้มด้วยบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยก๊าซไฮโดรเจนและก๊าซอ๊อกซิเจนเช่นเดียวกับบรรยากาศของโลก
แต่ทว่ามีความหนาน้อยกว่า ที่ดาวดวงนี้มีน้ำอยู่ด้วย
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้บรรดานักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นแล้วในดาวดวงนี้
บนดาวอังคารด้านที่ได้รับแสงสว่างเป็นเวลากลางวันนั้นมีอุณหภูมิประมาณ
70 องศาฟาเรนไฮต์ แต่ในด้านที่เป็นกลางคืนนั้นอุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ฤดูบนดาวอังคารก็มี 4 ฤดูเช่นเดียวกับบนโลก
ในฤดูหนาวที่ขั้นทั้งสองจะมีน้ำแข็งปกคลุมขาวโพลนเป็นบริเวณกว้างขวาง
แต่พอถึงฤดูร้อนก็ค่อย ๆ ละลายหมดไป
เชื่อกันว่าน้ำแข็งที่ปกคลุมขั้วโลกดาวอังคารนั้น หนาไม่เกิน 1 ฟุต
ใช่แต่เท่านั้นเมื่อมองผ่านกล้องโทรทรรศน์แรงสูง
จะเห็นเส้นหรือแนวทางเป็นเส้นตัดทอดจากขั้วโลกทั้งสอง
มายังบริเวณเส้นศูนย์สูตรจำนวนมากอีกด้วย ทำให้นักดาราศาสตร์คิดว่า
อาจจะเป็นคลองระบายน้ำจากขั้วโลกมาสู่แถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งสำเร็จขึ้นมาได้ด้วยฝีมือของมนุษย์ในโลกนั้นก็เป็นได้
บริวารดาวอังคาร
ดาวอังคารมีบริวาร 2 ดวง ชื่อ โฟบอส (Phobos) กับ ไดมอส (Deimos)
พบเป็นครั้งแรกโดยเอแสฟ
ฮอล (Asaph Hall) ในปี พ.ศ.2420 เป็นดวงจันทร์ขนาดเล็ก พื้นผิวมืดคล้ำ รูปร่างคล้าย
มันฝรั่ง อยู่ใกล้ ดาวอังคารมาก สันนิษฐานว่าอาจเป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถูกดาวอังคารดูดจับไว้
โฟบอส มีขนาดประมาณ 20 X 28 กิโลเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 22 กิโลเมตร
โคจรรอบ ดาวอังคารรอบละ 7 ชั่วโมง 39 นาที
ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ดาวอังคารหมุนรอบตัวเอง ดังนั้น ถ้าเราอยู่บนดาวอังคาร
จะเห็นโฟบอสขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกถึงวันละ3 รอบ
โฟบอสอยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 9,300
กิโลเมตร ไดมอส เป็นดวงจันทร์ดวงเล็ก
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 กิโลเมตร อยู่ห่างจากศูนย์กลางดาวอังคารประมาณ 23,400 กิโลเมตร
โคจรรอบดาวอังคารรอบละ 30 ชั่วโมง 18 นาที สำหรับคนที่อยู่บน
ดาวอังคารเห็นโฟบอสกับไดมอส เคลื่อนที่สวนทางกันในท้องฟ้า
เส้นทางการสำรวจ
การเดินทางของนักบินอวกาศ ผู้อุทิศชีวิตเพื่อการสำรวจจักรวาลอันไกลโพ้น
เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ
ความสนใจเกี่ยวกับดาวอังคารเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อมีค้นพบของนักดาราศาสตร์ในราว 200
ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ ปี ค.ศ 1609 เมื่อโจฮันเนส เคปเลอร์ สำรวจพบว่า
ดาวอังคารมีวงโคจรเป็นรูปวงรี และต่อมาในปี ค.ศ.1700
ได้มีการร่างภาพพื้นผิวดาวอังคารโดย คริสเตียน ไฮเกนส์ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1877
จีโอวานนี เชพพาเรลลี่ ได้ส่องกล้องเห็นแนวคลองบนดาวอังคารหรือที่เรียกว่า canali
หรือเส้นทางคล้ายร่องน้ำ
การค้นพบครั้งนี้จุดประกายให้แก่นักดาราศาสตร์อื่นๆ เป็นอย่างมาก ต่อมาในปี ค.ศ
1894 เพอร์ซิวาล โลเวลล์ ได้สร้างหอดูดาวที่รัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ดาวอังคาร
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างแผนที่พื้นผิวดาวอังคารเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิมด้วย
โลเวลล์นี้เองคือผู้ที่พยายามพิสูจน์ว่ามีคลองชลประทานหรือแนวคลองขุดบนดาวอังคาร
ต่อมาในราวปี ค.ศ.1965 องค์การนาซาของสหรัฐฯ
ได้ส่งยานอวกาศ มาริเนอร์ 4 ไปสำรวจดาวอังคารเป็นครั้งแรก
และส่งภาพพื้นผิวดาวอังคารกลับมายังโลก 21 ภาพ ตามด้วยยานอวกาศอื่นๆ อีกหลายลำ
เช่น ยานมาร์ ขององค์การอวกาศแห่ง
อ้างอิง